วันพฤหัสบดีที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2557

รามเกียรติ์ ช่วงที่ 2 ตอนที่ 9

รามเกียรติ์ฉบับย่อจังหวะนรก ช่วงที่ 2 ตอนที่ 9 “รัก...ออกแบบไม่ได้”

พอตื่นมาหนุมานกับชมพูพานก็ตกใจ ถามองคตว่าหน้าแกไปโดนอะไรมา ก่อนนอนเมื่อคืนไม่เห็นเป็นอะไรเลยนี่หว่า องคตก็เลยเล่าให้ฟังเรื่องยักษ์ปักหลั่น หนุมานกับชมพูพานก็ต่อว่า ทำไมมีเรื่องหนุก ๆ ไม่ชวนกันมั่ง เจอแบบนี้องคตก็เซ็งล่ะครับ...

จัดการธุระส่วนตัวกันเรียบร้อยแล้วก็ออกเดินทางกันต่อ มาเจอป่าอีกแห่งหนึ่ง มีเมืองอยู่ในป่าด้วย แต่ไม่มีคน หนุมานเห็นแล้วก็อยากรู้อยากเห็นตามประสา แต่ก็ไม่วายสั่งให้พรรคพวกรออยู่ข้างนอกก่อนเพื่อความปลอดภัย ว่าแล้วก็ย่องเข้าไปสำรวจด้วยตัวคนเดียวด้วยความระแวดระวังเต็มที่ นี่จะเป็นแผนของพวกยักษ์หรือเปล่า? จะมีผีมั๊ย? ซอมบี้ล่ะ? และแล้วหนุมานก็ได้เห็น...

นางฟ้าหน้าตาดีองค์หนึ่ง 555 หนุมานเห็นปั๊บก็แบบว่ารักเลยอะ แต่จะแสดงออกมากเดี๋ยวจะเสียฟอร์มทหารเอก เลยเข้าไปทำทีสอบถามอะไรยังไงกัน นางอัปสรนั้นจึงบอกว่าตนชื่อบุษมาลี เป็นอัปสรสวรรค์คอยถวายรับใช้แก่พระอินทร์ เมืองนี้ชื่อเมืองมายัน เจ้าเมืองคือท้าวตาวัน เมื่อครั้งที่ท้าวตายันเข้าเฝ้าพระอินทร์เกิดหลงรักนางอัปสรอีกองค์หนึ่ง หลังจากนั้นเมื่อท่านท้าวมาเข้าเฝ้าพระอินทร์ครั้งใดก็มารบเร้าให้นางบุษมาลีเป็นแม่สื่อแม่ชักให้ทุกครั้งไป ครั้นความทราบถึงพระอินทร์ก็ทรงพิโรธจัด จึงสาปให้ท้าวตาวันตลอดจนชาวเมืองมายันหายไปจนหมดสิ้น รวมทั้งสาปให้นางบุษมาลีต้องลงมาเฝ้าเมืองร้างแห่งนี้แต่เพียงผู้เดียวเป็นเวลาถึงสามหมื่นปี จะกลับขึ้นสู่สวรรค์ได้อีกทีเมื่อมีทหารเอกขององค์นารายณ์ที่ชื่อหนุมานมาอุ้มโยนขึ้นท้องฟ้าเท่านั้น...

หนุมานได้ยินเช่นนั้นก็เผลอพลั้งปากไปว่า พี่เองนี่แหละทหารเอกแห่งองค์นารายณ์ผู้ที่บัดนี้อวตารมาเป็นพระรามเพื่อปราบยักษ์ทศกรรฐ์แห่งกรุงลงกา พูดเสร็จก็นึกได้ว่าตัวเองแอบชอบเขาอยู่แท้ ๆ แทนที่จะได้อยู่ครองคู่กัน ดันไปบอกว่าเป็นคนที่จะช่วยให้กลับสวรรค์ได้ เวรกรรม คิดแล้วหนุมานก็พลันสลดลง...

ฝ่ายนางบุษมาลีก็อึ้งไป 3.794685 วินาที โถว์ว์ว์!!! รอมาสามหมื่นปี นึกว่าทหารเอกจะเป็นชายหนุ่มรูปงาม กลายเป็นลิงเผือกท่าทางซน ๆ ซะงั้น เอ๊ะ! เดี๋ยวก่อน! หรือไอ้ลิงนี่จะมามั่วนิ่มหลอกเรา จึงออกปากถามว่าหากเป็นหนุมานตัวจริงจะมีเครื่องหมายการค้าอยู่นะ เจ้าลิงน้อยรู้รึป่าวว่ามันคืออะไร หนุมานได้ฟังก็นึกขัน ทำไมทุกคนถึงไม่เคยเชื่อข้ากันบ้างเล้ยยย ว่าแล้วหนุมานชาญสมรก็สำแดงฤทธิ์ เหาะขึ้นไปกลางอากาศ หาวออกมาเป็นดาวเป็นเดือน เสร็จแล้วก็เหาะกลับลงมาตรงหน้านางบุษมาลี นี่ใช่ไหมเครื่องหมายการค้าที่เจ้าอยากเห็น ทีนี้เชื่อข้าหรือยัง...


จากเดิมที่นางบุษมาลีนึกเพียงจะให้เป็นเพื่อนคุยคลายเหงา กลายเป็นว่าตอนนี้ต้องอาศัยหนุมานคลายคำสาป ก็กระอักกระอ่วนใจพอสมควร ด้านหนุมานก็ลำบากใจไม่แพ้กัน รักแรกพบกลับต้องจากพรากกันรวดเร็วเหลือเกิน...ต่างคนต่างพูดไม่ออก ได้แต่มองตาเท่านั้น...สุดท้ายรวบรัดตัดความไปที่บทประพันธ์เลยแล้วกัน เรท ฉ.18+ นะฮะย์ย์ย์...


บังเกิดเป็นคลื่นคลั่งฝั่งสมุทร     กุมภาผุดฝ่าละลอกกลอกกลิ้ง
ฟ้าลั่นครั่นครื้นดังปืนยิง     พายุยิ่งฮือฮือกระพือพัด
ประเดี๋ยวรดฝนตกลงซู่ซู่     ท่วมคูขอบวังทั้งจังหวัด
ถ้อยทีภิรมย์โสมนัส     ตามกำหนัดเสน่หาอาวรณ์....

เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจก็ได้เวลาทำตามที่ได้รับปากไว้ หนุมานอุ้มนางบุษมาลีไว้ในอ้อมแขน เหาะขึ้นสูงเทียมเมฆ แล้วโยนนางบุษมาลีออกจาอ้อมกอดเพื่อส่งนางกลับสวรรค์ นางบุษมาลีลับตาไปแล้วเหลือเพียงเสียงว่า หนทางสู่เมืองลงกานั้นให้เดินทางต่อไปทางทิศหรดีอีกเก้าโยชน์ จะพบมหานทีสายหนึ่งมีนางฟ้าสถิตย์อยู่ ให้ถามทางต่อไปจากนางฟ้าองค์นั้น...


หนุมานกลับออกมาจากเมืองร้างมายัน ก็บอกความแก่องคตและชมพูพาน ขบวนลิงก็เดินทางต่อจนมาถึงมหานทีดังที่นางบุษมาลีได้กล่าวไว้ และได้พบกับนางสุวรรณมาลี กล่าวว่าตนเองเป็นข้ารับใช้ในพระอิศวร ทรงสั่งให้นางมาแจ้งแก่เหล่าทหารของพระรามว่าอีกฟากของแม่น้ำมีฤาษีตนหนึ่งชื่อ “ชฎิล” เป็นผู้ที่รู้ทาง เมื่อกล่าวจบก็กลับสวรรค์ไป...

ทีนี้ด้วยความที่มหานทีนี้กว้างมาก น้ำก็ไหลเชี่ยว แม้จะไม่มีปัญหากับวานรตัวเก๋าทั้งสาม แต่กับลูกกระจ๊อกอีกห้าร้อยตัวนี่มีปัญหาแน่ ๆ คิดกันไปคิดกันมาก็เป็นหนุมานอีกแล้วที่แก้เควสท์นี้ได้ โดยการเนรมิตร่างกายให้ใหญ่โต กระโดข้ามมหานทีไป แล้วตวัดหางกลับมาพันโขดหินใหญ่ริมน้ำกลายเป็นสะพานให้กองทัพวานรได้เดินข้ามไป...


จากอีกฝั่งของมหานทีเดินทางมาอีกไม่ไกลก็ถึงอาศรมของชฎิลฤาษี ซึ่งทราบล่วงหน้าด้วยญาณจึงตระเตรียมอาหารและน้ำไว้รอต้อนรับ จากนั้นก็บอกทางว่าสุดชายภารตวรรษมีภูเขาที่เรียกว่าเขาเหมติวัน ถัดจากนั้นจะเป็นมหาสมุทรกว้างใหญ่ ข้ามมหาสมุทรนั้นไปก็จะพบกับเมืองลงกา แต่จะข้ามมหาสมุทรนั้นด้วยวิธีการใดท่านฤาษีเองก็ไม่ทราบเช่นกัน...


หลังจากกินอิ่มนอนหลับเรียบร้อยแล้ว สามทหารเอกและวานรไพร่พลก็ออกเดินทางมาจนถึงเขาเหมติวัน ระหว่างสำรวจบริเวณโดยรอบเพื่อหาทางไปต่อก็พบเข้ากับนกยักษ์ขนโล้นเลี่ยนเตียนเข้าตัวหนึ่ง จึงเข้าไปพูดคุยกัน...

พญานกเล่าว่าตนเองชื่อสัมพาที เป็นบุตรแห่งพญาครุฑเวนไตย แต่เดิมก็เป็นพญานกขนดกเหมือนนกปกติทั่วไปนั่นแล แต่วันนึงน้องชายก่อเรื่องเข้า พอเห็นองค์อาทิตย์สุริยเทพเสด็จผ่านก็คิดว่าเป็นผลไม้สุกสกาว ไล่ล่าคว้าจับหมายจะกิน องค์สุริยะก็กริ้วปลดปล่อยแสงร้อนแรงหมายสั่งสอนให้รู้ฤทธิ์ ตนเห็นดังนั้นจึงพุ่งเข้าขวางเพื่อปกป้องน้องชาย ผลก็คือขนหลุดร่วงจนหมด หนำซ้ำองค์พระยังสาปให้ขนไม่งอกขึ้นมาอีก ต้องอยู่ที่เขาเหมติวันเพื่อรอทหารแห่งองค์นารายณ์มาลบล้างคำสาปให้ เสียดายที่ไม่มีของไว้ต้อนรับเหล่าวานร พอดีน้องข้าบินไปเยี่ยมเพื่อนตั้งหลายวันแล้วยังไม่กลับมาเสียที ตัวข้าก็มีสภาพดั่งที่เห็น ลำพังแค่หากินก็ลำบากมากแล้ว หนุมานได้ยินก็ตงิด ๆ เอ่ยถามไปว่าน้องชายของท่านนั้นมีชื่อเสียงเรียงนามว่าใด สัมพาทีก็เอ่ยว่าน้องข้านั้นก็เป็นพญานกเช่นกัน ชื่อสดายุ เจ้าเคยได้ยินหรือไม่...


หนุมานได้ยินก็นิ่งไปพักนึง ก่อนจะเล่าเรื่องทั้งหมดให้พญานกสัมพาทีฟัง ทั้งเรื่องพระรามคือพระนารายณ์อวตาร เรื่องที่ทศกรรฐ์ลักตัวนางสีดา ก่อนที่นกสดายุจะพยายามช่วยเหลือและถูกทศกรรฐ์ฆ่าตาย สุดท้ายพวกตนจึงออกเดินทางเพื่อไปยังกรุงลงกา...


สัมพาทีได้ฟังเรื่องราวก็เศร้าโศกเสียใจเรื่องของน้องชาย จึงกล่าวแก่บรรดาวานรว่าขอให้โห่ร้อง 3 ครั้ง คำสาปของพระอาทิตย์สุริยาก็จะมลายไป เมื่อข้ากลับคืนสภาพเดิมจะพาเจ้าไปดูเมืองลงกาให้เห็นด้วยตาเจ้าเอง วานรน้อยใหญ่ได้ยินดังนั้นก็พร้อมใจกันโห่ร้อง คำสาปขององค์เทพสิ้นสลาย นกยักษ์สัมพาทีกลับเป็นพญานกงามสง่าอีกครั้ง พร้อมกันนั้นจึงให้นายวานรทั้งสามขึ้นขี่หลัง แล้วจึงโผบินขึ้นสู่ท้องฟ้าบ่ายหน้าไปทางเมืองลงกา...

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น