วันพฤหัสบดีที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

รามเกียรติ์ ช่วงที่ 2 ตอนที่ 4

รามเกียรติ์ฉบับย่อจังหวะนรก ช่วงที่ 2 ตอนที่ 4 “เรา สอง สาม คน”

หลังจากที่ท้าวทศรถได้ไปร่วมพิธีอภิเษกสมรสระหว่างพระรามกับนางสีดาที่เมืองมิถิลาและกลับมาถึงเมืองอยุธยาแล้ว อยู่มาวันหนึ่งท้าวทศรถเห็นว่าตนเองมีอายุมากแล้วจึงตัดสินใจจะให้พระรามขึ้นครองเมืองอยุธยาแทน จึงได้แจ้งไปยังฝ่ายต่าง ๆ เพื่อเตรียมพิธีการ...

ก่อนวันพิธีนางค่อมกุจจีได้ไปเฝ้านางไกยเกษีด้วยใจพยาบาทพระรามแต่ครั้งก่อน ทูลว่าควรทวงสัญญาจากท้าวทศรถที่ให้ไว้เมื่อครั้งไปปราบยักษ์ปทูตทันต์ คือขอให้พระพรต บุตรของนางไกยเกษีขึ้นครองเมืองก่อนพระราม และให้พระรามไปเดินดงเป็นเวลา 14 ปี นางไกยเกษีเห็นชอบด้วย จึงไปเฝ้าท้าวทศรถแล้วเจรจา...

ท้าวทศรถมิอาจปฏิเสธคำของนางไกยเกษีได้ เพราะเคยให้สัจจะไว้ ดังนั้น พระรามต้องออกบวชเป็นเวลา 14 ปี สร้างความเศร้าโศกเสียพระทัยแก่ท้าวทศรถเป็นอันมาก...


ครั้นแล้วพระรามก็ทรงเปลื้องเครื่องกษัตริย์ ทรงผ้าคากรองเป็นฤาษี ฝ่ายพระลักษณ์เมื่อทราบเรื่องก็โกรธและคิดจะไปฆ่านางไกยเกษี แต่พระรามห้ามไว้และบอกว่า การที่ตกลงใจจะออกเดินป่าเป็นเวลา 14 ปี ก็เพื่อเป็นการช่วยบำรุงสัตย์ของพระราชบิดา เพราะถ้าบิดาเสียสัตย์ปฏิญาณจะได้อัปประมาณในแดนไตร พระลักษณ์จึงระงับโทสะได้ และตัดสินใจว่า จะเสด็จไปเป็นเพื่อนพระรามในการเดินดง แล้วพระลักษณ์ก็ทรงผ้าคากรองเป็นฤาษีเช่นเดียวกับพระราม...


ส่วนนางสีดาเมื่อทราบว่าพระสวามีจะไม่ได้ครองเมือง และบัดนี้ได้บวชเป็นดาบสเพื่อออกไปสร้างพรตอยู่ในป่า และพระลักษณ์ก็บวชตาม นางสีดาคิดแล้วจึงเปลื้องเครื่องประดับ สำหรับอัคเรศเสน่หา ออกจากพระกายกัลยา ทรงเพศเป็นดาบสินี...

เมื่อพระราม พระลักษณ์ และนางสีดา เดินทางออกจากเมืองอยุธยา ก็เดินเข้าดงพงไพร รอนแรมอยู่หลายคืน จนถึงแม่น้ำสะโตง ซึ่งกว้างใหญ่และไหลลึก จึงหยุดพักที่ริมแม่น้ำ ได้พบกับ พรานไพรใจกล้าชื่อ กุขัน ซึ่งด้วยอำนาจพระนารายณ์ดลจิต กุขันจึงเคารพรักและเกรงเดชพระราม จึงจัดหาน้ำผึ้ง เนื้อทราย กับปลาย่างตัวใหญ่มาถวาย และขันอาสาจะพายเรือข้ามแม่น้ำไปให้จนกระทั่งได้มาพบพระภารทวาชฤาษี และพระสรภังคฤาษีที่เขาสัตกูฎ แล้วได้พำนักที่อาศรมซึ่งเทวดามาสร้างไว้ที่ปากถ้ำ...

ย้อนกลับมาที่พระพรต และ พระสัตรุตซึ่งอยู่ที่เมืองไกยเกษเมื่อได้รับสารจากพระมารดา คือนางไกยเกษี
ว่าให้กลับมายังเมืองอยุธยาจึงเดินทางกันกลับมา แต่เมื่อมาถึงก็เป็นที่สงสัยว่าทำไมบ้านเมืองเงียบสงบดั่งหนึ่งกลางป่า ภายหลังจึงได้ทราบว่าท้าวทศรถสวรรตคตแล้วเพราะเสียพระทัยอาลัยรักพระรามที่ต้องเดินทางจากไป 14 ปี และให้พระพรตขึ้นครองเมืองแทนตามคำขอของ นางไกยเกษี พระพรตโกรธพระมารดามากเกือบจะฟันพระมารดา แต่ยับยั้งตั้งสติแล้วทูลว่าจะไปตามพระรามกลับมาครองเมือง...


ในพิธีถวายพระเพลิงพระศพท้าวทศรถ ทั้งพระวสิทธิ์ฤาษีและพระสวามิตฤาษีห้ามไม่ให้นางไกยเกษีและพระพรตมาถวายพระเพลิง ด้วยท้าวทศรถสั่งไว้ก่อนจะเสด็จสววรคต นางไกยเกษีได้ฟังไม่รู้จะตอบประการใดจนใจด้วยตัวทำผิดจึงออกจากเมรุกลับไปยังปราสาทของตน...

วันรุ่งขึ้น พระพรต พระสัตรุต นางเกาสุริยา และนางสมุทรเทวี เตรียมตัวจะไปรับเสด็จพระรามให้กับคืนเมืองอยุธยา ฝ่ายนางไกยเกษีเมื่อรู้ดังนั้นก็ตัดสินใจตามไปขอโทษด้วย ทั้ง 5 คนจึงออกเดินทางตามหา
พระราม พระลักษณ์ และนางสีดา...


ครั้นพอถึงเขาสัตกูฎ ทั้งหมดเดินทางไปหา พระพรตทูลพระรามว่า เสียพระทัยมาก เมื่อทราบว่ามารดาของตนเป็นต้นเหตุให้พระรามต้องออกป่า จึงตามมาเพื่อขอทูลเชิญให้กลับคืนไปครองพระนคร และแจ้งให้ทราบว่าท้าวทศรถผู้เป็นพ่อได้สวรรคตเรียบร้อยแล้ว ต่างเศร้าโศกเสียใจ และพระรามยึดมั่นคำสัญญาว่าอย่างไรก็ไม่กลับเพื่อรักษาสัตย์ของบิดา แม้นว่าพระมารดาทั้งสามจะทัดทาน อ้อนวอนอย่างไรก็ไม่เป็นผล พระพรตจึงทูลว่าหากครบ 14 ปี พระรามยังไม่กลับมาตามคำสัญญา ตนกับพระสัตรุตจะกระโดดเข้ากองเพลิงเผาตัวตาย...

ก่อนลาจากคณะของพระราม พระพรตจึงทูลขอรองพระบาทพระรามกลับไปแทน แล้วอัญเชิญรองพระบาททำด้วยหญ้านั้นบนพานแก้ว และเก็บไว้ในปราสาทแก้วถือเป็นของศักดิ์สิทธิ์ แล้วพระพรตไปอยู่เมืองสร้างใหม่ ชื่อประจันตคามให้พระสัตรุตไปรักษาเมืองอยุธยา...

ฝ่ายพระรามพานางสีดา และพระลักษณ์เสด็จต่อไปไกลอีก เพื่อป้องกันพวกเมืองอยุธยาไปมาหาสู่ และลงเรือเทวดาเนรมิตข้ามแม่น้ำอมฤตไปขึ้นฝั่งแล้วเข้าไปในสวนของยักษ์วิราธโดยไม่รู้องค์...


ยักษ์วิราธมีฤทธิ์มาก เพราะพระอิศวรประทานกำลังมหาสมุทร และ กำลังพระเพลิงให้ ยักษ์นี้ปลูกชมพู่พวาทองไว้ต้นหนึ่ง รสอร่อยเลิศให้บริวารรักษาไว้ ตนเองไปอยู่วิมานที่ภูเขาอัศกรรณครบเจ็ดวันจึงจะมาเที่ยวสวน ครั้งหนึ่งเมื่อพระรามทรงเก็บชมพู่พวาทองให้นางสีดา บริวารยักษ์ก็เข้ามาจะทำร้าย พระลักษณ์จึงปราบจนกระจายหนีไปหมด ที่ตายก็มาก พอดีเป็นเวลาครบเจ็ดวัน ยักษ์วิราธกลับลงมาที่สวนก็หายตัวเข้าไปใกล้คณะพระราม เห็นนางสีดาสวยก็เลยร่ายคาถาให้มืดมิดแล้วคว้านางสีดาไว้รีบพาหนีไปนางจึงร้องให้ช่วย พระรามก็แผลงศรเกิดแสงสว่างดังดวงอาทิตย์ จึงเห็นวิราธอุ้มนางสีดาหนีเข้าไป พระรามก็ตามไปช่วยทัน และฆ่ายักษ์ด้วยศรพรหมมาศพระรามเดินทางต่อไป จนพบพระฤาษีอรรคต ซึ่งรับฝากเกราะทิพย์ของพระอิศวรไว้ถวายพระราม (พร้อมกับตอนธนูโมลีน่ะ จำได้นะ) จากนั้นพระอินทร์ได้เนรมิตอาศรมขึ้นที่ริมแม่น้ำโคทาวารี ให้ทั้งสามพระองค์ประทับ...


ไม่ไกลจากที่ประทับนั้นมียักษ์ชื่อ กุมภกาศ เป็นบุตรนางสำมนักขาและชิวหา มีอายุสิบเก้าปี ได้ตั้งโรงพิธีขอพรจากพระพรหม เพื่อขอพระขรรค์เทพศาสตรา แต่เนื่องจากพระพรหมมีธุระสำคัญจึงมิได้เหาะลงมามอบด้วยพระองค์เองแต่ได้ทิ้งพระขรรค์มีฤทธิ์ปราบได้ทั้งสามโลก ลงมาข้างโรงพิธีของกุมภกาศที่ริมฝั่งแม่น้ำโคทาวรี จึงทำให้กุมภกาศโกรธมากต่อว่าพระพรหมว่าไม่ให้เกียรติ จึงหลับตาภาวนาต่อไป หวังจะให้พระพรหม ลงมามอบอาวุธให้กับมือ ระหว่างนั้นพระลักษมณ์ที่ได้มาประทับที่ศาลาริมแม่น้ำโคทาวรีและเสด็จออกมาหาอาหาร ระหว่างทางได้พบกับพระขรรค์เทพศาสตราของพระพรหมที่ทรงทิ้งลงมาให้แก่กุมภกาศพระลักษมณ์จึงทรงยกพระขรรค์ขึ้นมาทำให้แสงของพระขรรค์ไปเข้าตาของกุมภกาศ นึกว่าพระพรหมลงมา ก็ลืมตาดู พอเห็นพระลักษณ์หยิบพระขรรค์ไปก็โกรธจึงได้ออกมาต่อสู้กับพระลักษมณ์เพื่อแย่งชิงพระขรรค์และในที่สุดกุมภกาศจึงถูกพระลักษมณ์ฆ่าตายด้วยพระขรรค์เทพศาสตรา...

***หมายเหตุ : บทขยายความตัวละคร...
สารภาพเลยว่าไม่คิดไม่ฝันว่าจะมีบทขยายความในช่วงที่ 2 แล้ว เพราะขี้เกียจเป็นหลัก 555 จริง ๆ ก็พยายามแทรกลงไปไว้ในส่วนเนื้อเรื่องแล้ว แต่อันนี้ค่อนข้างซับซ้อนเลยต้องยอมเขียนเพิ่ม...

ในตอนนี้ผมเปลี่ยนแปลงชื่อตัวละครไปตัวนึงครับ นั่นก็คือ “ยักษ์วิราธ” ซึ่งในหลาย ๆ บทประพันธ์ใช้ชื่อว่า “ยักษ์พิราพ” แต่ก็ดันไปพ้องกับยักษ์ที่เป็นปางอวตารของพระอิศวร แถมยังกลายเป็น “ครู” ที่ชาวกรมศิลป์นับถือบูชา เลยขอเปลี่ยนชื่อจะได้ไม่สับสนกันนะครับ ประวัติของยักษ์ตนนี้ขอเล่าแบบผ่าน ๆ ละกันนะ...

แรกเริ่มเดิมที ยักษ์พิราพ (เวอร์ชั่นรามเกียรติ์นะครับ) นั้นคือ พระฤาษีพิราพ แต่เดิมเป็นเพียงเป็นคนธรรพ์ชื่อวิราธ (ต้องอธิบายใช่มะ -.- ไม่เป็นไร กูเข้าใจ... “คนธรรพ์” เป็นอมนุษย์กึ่งเทวดา ออกแนวเบ๊ ๆ หน่อย ทำหน้าที่ปรุงเหล้าเทวดา ร้องรำทำเพลง บางจำพวกก็จัดเป็นรุกขเทวดา นางตะเคียน นางตานี ประมาณนั้น)...

ถึงไหนแล้วล่ะ อ๋อ! คนธรรพ์วิราธได้บำเพ็ญตบะจนเปลี่ยนคลาสเป็นฤาษี และมุ่งมั่นในตบะฌาณเพื่อเสริมสร้างบารมี จนในที่สุดองค์พระพรหมเสด็จมาประทานพรให้แก่วิราธนั้น อยู่ยงคงกะพันมิให้ต้องตายด้วยอาวุธใด ๆ ทั้งสิ้น...

ต่อมานางวิรัมภาผู้เป็ญบริบาทจาริกา (แปลสั้น ๆ ว่า “คนใช้”)ของท้าวเวสสุวรรณได้เข้ามาเก็บดอกไม้ หาผลไม้ และท่องเที่ยวในป่า ก็บังเอิญมาพบกันเข้า จึงเกิดมีความรักขึ้นต่อกัน และก็ Featuring กันไปตามสูตร...

ความล่วงรู้ไปถึงท้าวเวสสุวรรณ จึงพิโรธทรงทำโทษนางวิรัมภา และสาปให้พระฤาษีวิราธ ต้องกลายเป็นรากษส (ยักษ์) มีควาดุร้ายอยู่ในป่าทัณฑก เที่ยวอาละวาดจับสัตว์กิน เป็นอาหาร จนกว่าพระนารายณ์ จะอวตารมาเป็นพระราม แล้วให้พระรามฆ่าด้วยมือของพระองค์เองจึงจะหมดสิ้นเคราะห์กรรมตามคำสาป...

บางคนอาจจะนึกว่า “อ้าว! ไหนว่าพระพรหมประทานพรให้ไม่ตายด้วยอาวุธไง” จริง ๆ แล้วเรื่องจริงมันโหดร้ายครับ เคยอ่านเรื่องหนูน้อยหมวกแดงต้นฉบับไหมล่ะ 555...

เรื่องจริงก็คือ...พระรามกับพระลักษณ์สู้รบกับยักษ์วิราธอยู่นานจึงได้ไถ่ถามประวัติกันขึ้น ยักษ์วิราธก็ได้เล่าให้ฟังทั้งสิ้นโดยไม่ปิดบัง พระรามกับพระลักษณ์จึงได้ช่วยกันจับ ยักษ์วิราธ...ฝัง...ทั้ง...เป็น... (โอ้ว มาย ก๊อดซ์ซ์ซ์) เพื่อการหมดเคราะห์ตามความประสงค์ของยักษ์วิราธที่จะได้กลับไปเป็นฤาษีอย่างเดิม...



ไหน ๆ ก็เขียนละ เอาให้มันเยอะ ๆ ไปเลยละกัน “ชมพู่พวาทอง” นั้น มีการตีความหมายว่ามันคือ “ชมพู่น้ำดอกไม้” นั่นเอง อันนี้อยากให้ไปหาดูในกูเกิ้ลให้ได้นะครับ ชื่อเหมือนมะม่วง ผลเหมือนทับทิม ผิวเหมือนลูกสาลี่ กลับหัวขึ้นมาคล้าย ๆ มังคุด เนื้อข้างในกับเมล็ดเป็นชมพู่ อะเมซซิ่งฝุด ๆ 555


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น