รามเกียรติ์ฉบับย่อจังหวะนรก ช่วงที่ 2 ตอนที่ 7 “แต่เราก็หากันจนเจอ”
เมื่อทศกรรฐ์พานางสีดามาถึงฝั่งทะเลตรงข้ามเกาะลงกา
เพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าถ้าจะพานางไปในวังที่เมืองลงกา เดี๋ยวมนุษย์เมียนางมณโฑขัดใจกลายเป็นปัญหาครอบครัวเสียเปล่า
ๆ จึงตัดสินใจเอานางไปไว้ที่สวนขวัญ พร้อมกำชับให้สหัสกุมารโอรสทั้งพันตนที่เกิดจากนางสนมพันคนว่า
จงดูแลนางสีดาเป็นอันดี...
ทางฝ่ายพระรามเมื่อคอนกวางเดินกลับมาในระหว่างทางก็พบกับพระลักษณ์ที่ออกตามหาพระรามตามคำสั่งนางสีดา
เมื่อมาถึงกลับพบเพียงศาลาว่างเปล่า ก็เที่ยวเวียนหานางสีดากันทั้งสององค์
ยิ่งหายิ่งหมดหวังยิ่งเหนื่อยยิ่งเสียใจ จนกระทั่งเป็นลมหมดสติไปทั้งคู่ พระอินทร์จึงบันดาลฝนให้ตกเป็นละอองมาถูกพระราม
พระลักษณ์จนฟื้นแล้วบอกว่า ให้ตามนางสีดาไปทางทิศหรดี พระราม พระลักษณ์
ออกตามหานางสีดา จนมาพบพญานกสดายุปีกหักคาบแหวนนางสีดา
พญานกสดายุถวายแหวนให้พระรามพร้อมเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมด แล้วก็สิ้นใจตาย
เพื่อให้เกียรติแด่สหายคนสนิทของพระบิดา
พระรามจึงได้จัดงานพระราชทานเพลิงศพแบบย่อย ๆ ให้กลางป่า โดยใช้ศรอัคนีวาต
แผลงไปเพื่อให้เผาไหม้ศพ หลังจากนั้น สองพี่น้อง ก็เดินทางไปตามทิศหรดี (ตะวันตกเฉียงใต้)
ต่อไปตามที่เทวดาชี้บอกทางให้...
ในระหว่างทางได้เข้าไปพักในป่าไทรซึ่งสูงใหญ่มาก เป็นที่ร่ม
แล้วได้พบยักษ์ ชื่อ กุมพล แต่เดิมเคยเป็นข้ารับใช้ของพระอิศวร
วันดีคืนร้ายดับควบคุมความหื่นไม่ได้ ไปทำมิดีมิร้ายใส่นางนิลมาลี นางสนมคนโปรดของพระอิศวรเข้า
พระอิศวร ฟีล เวรี่ แองกรี้ โซ มัช
เลยขว้างจักรตัดตัวยักษ์กุมพลเหลือแค่ครึ่งเดียว พร้อมกับไม่ลืมสาปให้ กุมพล
ไม่ตาย แล้วไปทุกข์ทรมานมีตัวแค่ครึ่งเดียวบนโลกมนุษย์
จะพ้นคำสาปก็ต่อเมื่อได้พบพระรามซึ่งเป็นนารายณ์อวตาร...
กุมพลตัวใหญ่สูงปานภูผา
อ้าปากประหนึ่งถ้ำสองเนตรแดงดังดวงอาทิตย์ ยักษ์ตนนี้อ้าปากเอามือวงไว้ข้างหน้า
เมื่อเวลามีมนุษย์หรือสัตย์ใดเข้ามาในอ้อมแขนก็จะจับกินเป็นอาหาร...
เมื่อพระรามและพระลักษณ์พลัดหลงเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนแห่งรัก
เอ๊ย! อ้อมแขนแห่งยักษ์กุมพล จึงได้รู้ว่าภัยมาถึงตัวแล้ว
ต่างฝ่ายต่าง พรีแพร์ ฟอร์ อะ วอร์
แต่กลายเป็นยักษ์กุมพลที่ยั้งสงครามไว้ก่อนเพราะเซ้นส์บางอย่างบอกว่านี่ไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา
จึงเอ่ยถามที่มาที่ไปของพี่น้องสองคนนี้...
พระรามเลยแสดงตัวให้กุมพลเห็นว่า
พระองค์คือนารายณ์อวตาร กุมพลเห็นดังนั้นก็ซาบซึ้งน้ำตาปริ่ม รีบก้มกราบพระนารายณ์
แล้วทำหน้าที่ NPC ท่องบทที่พระอิศวรมอบไว้ให้แก่พระรามว่านางสีดาถูกทศกรรฐ์พาไปเมืองลงกาซึ่งอยู่ไกลมาก
ต้องไปถามพระยาพาลีที่เมืองขีดขินและยังมีเมืองชมพู ซึ่งอยู่ใกล้กัน
ทั้งสองเมืองนี้มีไพร่พลวานรมากมาย คงจะพาพระรามข้ามไปยังกรุงลงกาได้ ...
พระรามได้ยินดังนั้นก็ยินดีมาก จึงสัญญากับกุมพลว่า
จะตอบแทนความกรุณาของกุมพลให้หนึ่งข้อ ถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรง กุมพลเลยตรัสขอพระราม
ให้ช่วยแผลงศรใส่ตัวเอง
เพื่อที่ตัวเองจะได้สิ้นชีพแล้วกลับไปเป็นคนรับใช้พระอิศวรที่เขาไกรลาสอีกครั้ง พระรามจึงแผลงศรพรหมมาสตร์ตอบแทนบุญคุณปักตัวกุมพลสิ้นชีพ
แล้วกุมพลก็กลับไปเกิดใหม่ที่เขาไกรลาสตามประสงค์ เป็นอันสิ้นสุดเวรกรรมที่ต้องทนทุกข์ทรมาน
ตัวครึ่งเดียวแต่เพียงเท่านี้...
ออกเดินทางมาได้สักระยะ
ก็ตัดสินใจพักแรมกันที่แนวป่า (เริ่มมายังไม่เท่าไหร่พักกันไป 3 รอบแล้วนะครัชชช) พระลักษณ์อาสาไปหาของกินเหมือนเช่นทุกครั้ง...
และเหมือนเช่นทุกครั้งอีกเช่นกันที่ทุกครั้งที่หยุดพัก
ทุกครั้งที่มีป่า มันจะต้องมีตัวอะไรโผล่มาซะทุกที
คราวนี้เป็นยักษ์ตัวเมียหน้าตาอัปลักษณ์ที่ชื่อ “นางอัศมูขี”...
นางยักษ์แกก็หาของกินไปเรื่อย ๆ
ตามชีวิตปกติที่ผ่านมา พระลักษณ์ก็ออกหาอาหารเหมือนปกติทุกตอนที่ผ่านมา
แต่พอนางยักษ์มาเจอพระลักษณ์รูปกายผุดผ่องผิวทองอร่ามขนาดนั้นก็อดใจแทบไม่ไหว
เรื่องราวมันก็เลยไม่ปกติเหมือนที่ผ่านมา...
จะเข้าไปฉุดกันดื้อ ๆ ก็คงไม่ง่าย ว่าแล้วนางยักษ์ก็ใช้มนตราเข้าช่วย
เสกให้พระลักษณ์หลับสนิทศิษย์หามโลง ตามด้วยเวทกำบังแล้วก็อุ้มเทพบุตรสุดหล่อขึ้นฟ้าไป...
อยู่ดีๆ ท้องฟ้าก็มืดมิด พระรามก็แปลกใจ
มันอะไรกันวุ๊ย? หรือพวกยักษ์จะเล่นงานเรากับพระลักษณ์เสียกระมัง? ว่าแล้วพระรามก็แผลงศรขึ้นฟ้าเพื่อเปิดทางให้แสงแดดส่องลงมา...
อิทธิฤทธิ์ของศรวิเศษนอกจากจะทำให้เกิดแสงแล้ว ยังทำให้พระลักษณ์รู้สึกตัวอีกด้วย
พอพระลักษณ์ตื่นมาก็แปลกใจปนตกใจว่ายักษ์หน้าตาน่าเกลียดนี่คือใคร
พอรู้ความว่าจะต้องฮาราจุ๊กกรู้กับนางยักษ์อัศมูขีก็รับไม่ได้
ต่อสู้ดิ้นรนเป็นการใหญ่ ปากก็พร่ำท่องพระเวทให้ร่างกายหนักขึ้น
จนนางยักษ์เหาะไม่ไหวร่อนลงแลนดิ้งบนพื้นดิน สุดท้ายนางยักษ์ถูกพระลักษณ์ใช้พระขรรค์วิเศษตัดมือทั้งสองข้าง
ต้องร้องขอชีวิตพระลักษณ์ พระลักษณ์ก็ใจอ่อน ปล่อยนางวิ่งเตลิดกลับเข้าป่าไป
สักพักพระรามก็ตามมาทัน คิดว่าคงไม่ปลอดภัยจึงชวนกันเดินทางต่อ...
เดินทางกันไปเดินทางกันมา สุดท้ายมาถึงป่ากัทลีวัน ก็แสนจะเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า จะหยุดพักก็กลัวจะมีตัวอะไรโผล่มาอีก เหล่าเทพารักษ์เลยเคลียร์พื้นที่ร่ายมนต์บันดาลให้พระรามเหนื่อยและหลับอยู่ที่นี่
พระรามโดนมนต์เทพารักษ์เข้าไปก็บอกพระลักษณ์ว่าเราเดินทางไม่ได้พักผ่อนมานานแล้ว
รู้สึกเหมือนจะไม่สบาย เราพักผ่อนตรงนี้ก่อนเถอะ ว่าแล้วพระรามก็ของีบบนตักของพระลักษณ์น้องชาย....
และแล้วช่วงเวลาสำคัญก็มาถึง...
หนุมาน เดอะ พญาวานรออกจากการจำศีลพอดี ก็ท่องเที่ยวไปในป่า
จนมาพบพระรามนอนหนุนตัก พระลักษณ์หลับด้วยความเหนื่อยอ่อน แลเห็นพระลักษณ์มีลักษณะรูปงามผิวกายสีเหลืองอ่อนดั่งทองทา ส่วนพระรามก็ผิวพรรณสีเขียวมรกตสดใส
ด้วยความสงสัยว่าคนอะไรทำไมมีออร่าแปลก ๆ จึงแปลงกายเป็นลิงน้อย
(ลิงแปลงร่างเป็นลิงนะครัชชช) ขึ้นไปขย่มใบไม้ร่วงหล่นมาใส่พระลักษณ์ พระลักษณ์ตื่นมาเจอลิงขย่มกิ่งไม้อยู่เกรงว่าพระรามจะตื่นจึงไล่ลิงน้อยให้หนีไป ทว่าไม่ได้ผล ลิงน้อยกลับโผนเข้าหาพระลักษณ์พร้อมแย่งธนูไป...
พระลักษณ์โดนท้าทายแบบนั้นก็ได้เรื่องสิครับ
ร้องโวยวายเอ็ดตะโรให้ลิงน้อยคืนธนูมาเสียดี ๆ พระรามได้ยินเสียงโวยวายใกล้ ๆ
ก็ทนนอนต่อไม่ไหว ลุกขึ้นมาดูว่ามันเกิดอะไรขึ้น แล้วก็ได้พบกับ “ว่าที่ทหารเอก”
เป็นครั้งแรก...
พระลักษณ์ตรัสว่าจะจับตัวลิงมาลงโทษเสียให้หายแค้น
พระรามก็ตรัสว่า ลิงเผือกตัวนี้ ต้องไม่ใช่ลิงธรรมดาแน่ๆ เพราะมีกุณฑล (ตุ้มหู)
มีขนเพชร และมีเขี้ยวแก้ว พระลักษณ์ทำตาปริบ ๆ ตรัสตอบว่า นั่นมันลิงธรรมดาๆ
ไม่เห็นจะมีกุณฑล ขนเพชร หรือเขี้ยวแก้วอะไรอย่างที่ท่านว่าเลย...
หนุมานได้ยินดังนั้น ก็นึกถึงคำของนางสวาหะผู้เป็นแม่ที่ได้เคยบอกไว้ว่า
ถ้าวันนึงข้างหน้า มีผู้หนึ่งผู้ใด เห็นของวิเศษที่ติดตัวเจ้ามาตั้งแต่เกิด
อันได้แก่ กุณฑล ขนเพชร และ เขี้ยวแก้ว คนผู้นั้นก็คือ
พระนารายณ์อวตารลงมาปราบมารร้าย ให้เจ้ารีบถวายตัวรับใช้ทันที...
หนุมานจึงปีนลงจากต้นไม้ ถวายธนูคืนแก่พระลักษณ์
แล้วคืนร่างเดิม (จากลิงกลับเป็นลิง) เข้ามาสนทนากับพระรามและพระลักษณ์ เมื่อทราบความว่า
พระรามและพระลักษณ์กำลังมุ่งหน้าไปกรุงลงกาเพื่อชิงนางสีดาคืน หนุมานจึงได้กล่าวต่อทั้งสองว่า
ตัวเองนั้นเคยได้ยินมาว่า กรุงลงกา เป็นเหมือนมหานคร กำแพงเมืองกว้างใหญ่
ทหารยักษ์มีนับล้าน แต่ก็ไม่เคยไป ไม่รู้แม้กระทั่งมันอยู่ตรงส่วนไหนของแผ่นดินภารตวรรษ...
ทั้งหมดจึงตกลงกันว่าจะไปซื้อ Garmin GPS
Navigator 555 ไม่ใช่สิฮะย์ย์ย์ หนุมานจึงเสนอว่าจะไปไต่ถามพลพรรคชาวลิงดูว่ามีใครรู้เห็นอย่างไรบ้าง
แต่ก่อนอื่นเชิญท่านทั้งสองไปพบกับน้าชายสุครีพกันก่อนเถิด...
เมื่อสุครีพได้ถวายตัวกับพระราม ก็ได้เสนอหนทางว่าควรให้เหล่าวานรจากทางเมืองขีดขินและเมืองชมพูเข้าเป็นทหารรับใช้
เนื่องจากการบุกเมืองลงกากันลำพังแค่มนุษย์เพียง 2 คน คงไม่มีทางสำเร็จ
เพียงแต่ไม่แน่ใจว่าทางเจ้านครขีดขินจะให้ความร่วมมือหรือไม่...
พระรามก็รู้สึกแปลกใจว่าสุครีพพูดจามีลับลมคมในจึงได้ไต่ถาม
สุดท้ายก็ได้รับทราบเรื่องราวทั้งหมดระหว่างพาลีและสุครีพ
ซึ่งสุครีพก็ได้ทูลขอความช่วยเหลือจากพระราม พระรามก็บอกปฏิเสธไปในทีแรก
เพราะเห็นว่าเป็นเรื่องพี่ๆน้องๆ ทะเลาะกัน จะให้คนอื่นไปแทรกเห็นทีจะไม่เหมาะ...
แต่สุครีพทูลท้าวความถึงความเดิมสมัยอรชุนโดนรามสูรจับฟาดเขาพระสุเมรุว่า
พาลีนั้นเคยสาบานต่อหน้าพระองค์ในขณะที่ัยังทรงเป็นพระนารายณ์ ว่าหากตัวเองเกิดคิดมิชอบ
แอบแซ่บกับนางดาราที่พระอิศวรประทานให้ตนไปทำเมียซะเอง
ตัวเองจะขอตายด้วยคมศรของพระนารายณ์ พระรามได้ฟังดังนั้น ก็ระลึกได้จึงรับปากแก่สุครีพ
แล้วพระรามและสุครีพก็นัดแนะแผนการณ์กันว่า
จะล่อให้พาลีออกมาจากเมืองขีดขินได้อย่างไร ส่วนหนุมานขอบายไม่ยุ่งเกี่ยว
เพราะทั้งพาลีและสุครีพก็มีศักดิ์เป็นน้าเท่าเทียมกัน...
รุ่งขึ้นพระรามก็นำน้ำชุบศรมารดตัวสุครีพ
แล้วก็ให้สุครีพแปลงกายเป็นพาลี ลักลอบเข้าไปในเมืองให้เกิดความวุ่นวาย
เมื่อเจอตัวพาลีก็ให้สู้รบแล้วล่อออกมานอกเมือง พระรามจะยิงศรใส่พาลีเอง...
ถึงเวลาเข้าจริง ๆ พระรามกลับไม่ได้แผลงศร
พาลีจับสุครีพฟาดเข้ากับภูเขาจนบาดเจ็บสาหัสแล้วสะบัดหางกลับเข้าเมืองไป
สุครีพตัดพ้อกับพระรามว่าทำไมจึงไม่แผลงศร พระรามจึงอธิบายว่าไม่สามารถแยกแยะได้ว่าใครคือใคร
หากแผลงศรไปผิดตัวก็เดือดร้อนถึงตายไปเปล่า ๆ ว่าแล้วก็นำน้ำชุบศรราดตัวสุครีพ
ตั้งใจว่าถ้าหายแล้วจะลงมืออีกครั้ง...
คราวนี้พระรามนำผ้ามาผูกแขนสุครีพไว้เป็นสัญลักษณ์
เมื่อสุครีพไปท้ารบอีกครั้ง ปรากฏว่าพาลีโกรธสุด ๆ เพราะให้โอกาสด้วยการไว้ชีวิตแล้ว
แม้จะแปลกใจที่หายบาดเจ็บได้เร็ว
แต่ด้วยความโกรธทำให้หมายมั่นปั้นมือว่าครั้งนี้จะฆ่าสุครีพให้ตายคามือให้จงได้
พอสู้กันจนออกมานอกเมืองแล้ว พระรามก็แผลงศรใส่พาลีตัวจริงอย่างแม่นยำ...
แต่พาลีก็ยังคงเป็นวานรที่เก่งกล้าอยู่คงเดิม คว้าจับศรไว้ได้
พลางตะโกนถามแกมด่าว่าเรื่องของพี่น้องเหตุใดฤาษีจึงต้องสอดมือ
พระรามจึงพูดถึงเรื่องราวในอดีตที่ผ่านมา
รวมถึงคำสัตย์สาบานที่พาลีให้ไว้แก่พระอิศวรตอนที่รับมอบผอบนางดารา
จากนั้นจึงได้แสดงร่างพระนารายณ์ให้พาลีเห็น ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีพลันบังเกิด
จึงกล่าวขอขมาและสั่งสอนสุครีพเป็นหลักปฏิบัติต่อพระรามไว้ดังนี้…
ครั้นเสร็จซึ่งลาพระสี่กร...............วานรเศร้าโทมนัสสา
จึ่งสั่งสุครีพอนุชา........................พี่จะลาสิ้นชีพชนมาน
เจ้าจะอยู่เป็นข้าพระทรงจักร........จงพิทักษ์รักษากันอาหลาน
หมั่นเฝ้าเช้าเย็นเป็นนิจกาล.........อย่าเกียจคร้านแต่ตามอำเภอใจ
สิ่งใดพระองค์จะตรัสถาม............อย่าเบาความพิดทูลแต่โดยได้
อย่าแต่งตัวโอ่อวดพระทรงชัย.....ที่ในพระโรงรัตนา
หมอบเฝ้าอย่าก้มอย่าเงยหงาย....อย่าเตร่ตรายเหลือบแลซ้ายขวา
พระที่นั่งบัลลังก์อลังการ์..............อย่าฝ่าฝืนขึ้นนั่งอิงองค์
อันฝูงสนมนางใน.........................อย่าผูกจิตพิสมัยไหลหลง
จงภักดีต่อใต้บาทบงสุ์.................อย่าทะนงว่าทรงพระเมตตา
แขกเมืองอย่าบอกความลับ.........อย่าสนิทคำนับคบหา
อันรางวัลปันให้เสนา...................อย่ามีใจฉันทาทัดทาน
แม้นกริ้วโกรธลงโทษผู้ใด...........อย่าใส่ใจยุยงจงผลาญ
อย่าโลภลักราชทรัพย์ศฤงคาร....พระบรรหารสิ่งใดจงจำความ
อาสาเจ้าตนจนตัวตาย................จึงนับว่าเป็นชายชาญสนาม
เจ้าจงจำคำทำตาม.....................ก็จะจำเริญความสวัสดี
จึ่งสั่งสุครีพอนุชา........................พี่จะลาสิ้นชีพชนมาน
เจ้าจะอยู่เป็นข้าพระทรงจักร........จงพิทักษ์รักษากันอาหลาน
หมั่นเฝ้าเช้าเย็นเป็นนิจกาล.........อย่าเกียจคร้านแต่ตามอำเภอใจ
สิ่งใดพระองค์จะตรัสถาม............อย่าเบาความพิดทูลแต่โดยได้
อย่าแต่งตัวโอ่อวดพระทรงชัย.....ที่ในพระโรงรัตนา
หมอบเฝ้าอย่าก้มอย่าเงยหงาย....อย่าเตร่ตรายเหลือบแลซ้ายขวา
พระที่นั่งบัลลังก์อลังการ์..............อย่าฝ่าฝืนขึ้นนั่งอิงองค์
อันฝูงสนมนางใน.........................อย่าผูกจิตพิสมัยไหลหลง
จงภักดีต่อใต้บาทบงสุ์.................อย่าทะนงว่าทรงพระเมตตา
แขกเมืองอย่าบอกความลับ.........อย่าสนิทคำนับคบหา
อันรางวัลปันให้เสนา...................อย่ามีใจฉันทาทัดทาน
แม้นกริ้วโกรธลงโทษผู้ใด...........อย่าใส่ใจยุยงจงผลาญ
อย่าโลภลักราชทรัพย์ศฤงคาร....พระบรรหารสิ่งใดจงจำความ
อาสาเจ้าตนจนตัวตาย................จึงนับว่าเป็นชายชาญสนาม
เจ้าจงจำคำทำตาม.....................ก็จะจำเริญความสวัสดี
สุครีพฟังคำจบก็เดินเข้ามาร่ำไห้ก้มกราบขอโทษพี่ชาย ทั้งคู่ได้ร่ำไห้กันไปมา หนุมานแม้จะอยู่ในที่ห่างไกลออกไปก็ยังรับรู้ได้ถึงความโศกเศร้าที่ญาติของตัวเองกำลังจะจากไป...
พระรามเห็นพาลีสำนึกผิดก็นึกเมตตา
อีกทั้งเสียดายความสามารถของพาลี
จึงเอ่ยว่าธนูนั้นหากสะกิดสังเวยเลือดเพียงสองสามหยดก็สิ้นฤทธิ์ลงได้
แต่พาลีก็ทะนงในศักดิ์ศรีพอ ไม่ยอมให้ร่างกายมีรอยแผลเป็น ขอยอมรับโทษ
จึงปล่อยธนูจากมือให้พุ่งเข้าปักหน้าอก พระรามได้อวยพรครั้งสุดท้ายให้พาลีไปเกิดบนสวรรค์
และจากไปอย่างหมดห่วง เพราะพระองค์จะดูแลสุครีพ องคต
และเหล่าญาติวานรของพาลีเป็นอย่างดี พาลีได้ฟังดังนั้นก็ยกมือไหว้พระราม ก่อนจะสิ้นใจอย่างสงบทั้งน้ำตา
พระรามจึงจัดพิธีศพให้กับพาลี ซึ่งพาลีได้ไปเกิดเป็นเทพบุตรพาลีบนสวรรค์ ชั้นที่ 3 ยามาภูมิ สุครีพได้เชิญพระรามและพระลักษณ์ให้เข้าเมือง พระรามก็ได้แต่ง
ตั้งให้สุครีพเป็นเจ้าเมือง โดยมีนางดาราเป็นอัครมเหสี...
จากนั้นพระรามและพระลักษณ์เดินทางไปอยู่ที่เขาคันธมาทน์เพื่อให้ทางสุครีพมีเวลาจัดกองทัพลิงไปรบกับยักษ์ตามที่สุครีพได้ขอเวลาไว้เจ็ดวัน
ในระหว่างที่เดินทางพระรามได้พบกันพญายูงทอง ซึ่งบอกว่า
นางสีดาได้สั่งไว้ให้ทูลพระรามว่าทศกรรฐ์ได้พานางไปยังเมืองลงกา ขอให้พระรามตามไป ต่อจากนั้นพระรามได้พบกับฝูงลิงป่า ซึ่งนางสีดาได้ฝากผ้าสไบไว้ถวายพระราม และขอให้พระรามตามไปฆ่าทศกรรฐ์...
ฝ่ายพระอินทร์เห็นพระรามและพระลักษณ์
เดินทางไปยังเขาคันธมาทน์ เพื่อชุมนุมกองทัพไปปราบยักษ์
จึงให้พระวิศณุกรรม์ไปเนรมิตพลับพลาที่บริเวณอันเป็นชัยภูมิ
แล้ววางเครื่องทรงไว้ให้เปลี่ยนหลังจากลงเพศฤาษี...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น